Skip to main content

ภูพระบาทไปแล้วก็ "ว้าว"เหมือนกันนะเนี้ย

     สวัสดีเพื่อน ๆ ปีนี้ดิฉันก็เรียนชั้นปีที่ 3 แล้วนะคะ รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ๆ เลยค่ะ 
เผลอแป๊ปเดียวก็จะจบแล้ว ยังจำความรู้สึกแรกที่เริ่มเขียน Blog ได้อยู่เลยค่ะ และดิฉันเองก็ยังรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เขียนเลยทีเดียว ตามที่บอกไปค่ะ ดิฉันเรียนขึ้นชั้นปีที่ 3 ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา  มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดิฉันเองก็ได้เลือกเรียนเอกประวัติศาสตร์เพื่อการท่องเที่ยว แน่นอนค่ะว่าฉันเลือกเพราะฉันชื่นชอบการท่องเที่ยวและรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทุกครั้ง ทุกคนค่ะวันนี้เราจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่เราได้ไปเยี่ยมชมมาค่ะ ซึ่งสถานที่ที่เราจะพาทุกคนไปเยี่ยมชมในวันนี้ก็คือ อุทยานแห่งชาติภูพระบาทค่ะ หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักใช่ไหมคะ ว่าคือที่ไหนและมีอะไรน่าตื่นเต้นบ้าง ต้องขอบอกก่อนเลยนะคะ ว่าอุทยานแห่งชาติภูพระบาทนี้ตั้งอยู่ที่ จังหวัดอุดรธานีค่ะ ซึ่งในตอนแรกดิฉันเองก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกัน พอเดินทางไปถึงจึงรู้ว่า อ่อ อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอบ้านผือ บรรยากาศบริเวณหน้าอุทยานก็ร่มรื่นดีค่ะ ต้นไม้สีเขียวค่อนข้างเยอะ และบริเวณนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพานด้วยนะคะ 

(รูปดิฉันและเพื่อน ๆ ในเอกประวัติศาสตร์ก่อนจะเดินเท้าเข้าไปดูโบราณสถานและโบราณวัตถุด้านใน)
 
ดูจากรูปแล้วเพื่อน ๆ ทุกคนสดใสกันมาก ๆ เลย ก่อนจะเข้าไปชมขอเกริ่นสักนิดหน่อยนะคะ เพิงหินรูปร่างต่าง ๆ ที่พบในอุทยานนี้เกิดจากชันหินทรายแต่ละชั้นที่คงทนต่อการกัดเซาะตามธรรมชาติและสึกกร่อนจนทำให้เกิดเป็นเพิงหินที่มีส่วนคอดเว้าเหมือนดอกเห็ด หรือสึกกร่อนจนเหลือแต่เสาจึงกลายเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่สวยงาม

(มาเริ่มเดินทางเข้าไปชมความสวยงามกันค่ะ Let's go !)

หลังจากที่ได้เดินทางเข้ามาเยี่ยมชมแล้วก็รู้สึกว้าวมาก ๆ เลยค่ะ เพราะอารยธรรมที่พบบนอุทยานที่ดิฉันชอบมากเลยก็คือภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ค่ะ ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าในอดีตมนุษย์เรานั้นได้ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาของป่า 
(ภาพนี้อยู่ที่บริเวณถ้ำงัว)

(ภาพนี้อยู่บริเวณถ้ำคน)

เมื่อดิฉันได้เห็นความมหัศจรรย์นี้กับตาก็รู้สึกว้าวมากเลยค่ะ ส่วนสีที่นำมาเขียนนั้นก็สันนิษฐานว่าเป็นสีที่นำมาจากธรรมชาติค่ะ อย่างเช่น ดินเทศ แร่เฮมาไทต์ โดยอาจนำไปผสมกับยางไม้ค่ะตึงทำให้สีติดทนมานานจนถึงปัจจุบันให้เราได้มองเห็น ซึ่งนอกจากจะพบอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ที่นี่ยังพบอารยธรรมยุคประวัติศาสตร์อีกด้วยนะคะ และต้องรู้สึกว้าวอีกครั้งคือสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็น วัฒนธรรมทราวดีที่มาพร้อมกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ต่อมาเป็นอิทธิพลศิลปกรรมแบบเขมรพบที่ถ้ำพระ มีการสกัดหินเป็นรูปพระโพธิสัตว์ค่ะ
(ถ้ำพระ)
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะคะ ยังมีอีกวัฒนธรรมหนึ่งที่เข้ามาหลังจากช่วงทราวดีและเขมรผ่านไป นั่นก็คือ วัฒนธรรมล้านช้างค่ะ ซึ่งแพร่เข้ามาในภูพระบาทช่วงพุทธศตวรรษที่ 22-23 ค่ะ
(ถ้ำวัดลูกเขย)

ตามธรรมเนียมค่ะ เดินทางมาถึงแล้วก็ต้องแชะภาพกันสักหน่อย ยังไม่หมดนะคะทุกคน ความว้าวไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ ยังมีให้ว้าวกันอีกค่ะ นั่นก็คือ คือ คือ "หอนางอุสา" ตอนที่ดิฉันดูในรูปก็รู้สึกว่าไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่พอได้มาเห็นกับตาก็ร้องว้าวอยู่นะคะ เพราะใหญ่กว่าที่คิดไว้ค่ะ

ไม่เพียงแค่ว้าวกับความงดงามของโบราณสถานเท่านั้นค่ะ เพราะหอนางอุสายังมีเรื่องเล่าที่เป็นนิทานพื้นบ้านที่เกี่ยวกับความรักที่ไม่สมหวังของนางอุสาและท้าวบารส และเมื่อดิฉันและเพื่อน ๆ ได้มาถึงหอนางอุสาทั้งทีเราก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปกันแน่นอนค่ะ

หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็คงอยากจะมาท่องเที่ยว มาเยี่ยมชม นอกจากจะได้มาดูสิ่งที่สวยงามแล้วยังได้เดินเท้าด้วยความสนุกสนานและสามารถเผาผลาญพลังงานได้หลายแคลอรี่เลยนะคะ สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคนได้ลองมาชมดูนะคะ ส่วนตัวดิฉันก็ถือว่าได้ประสบการณ์ที่ประทับใจและจะเก็บไว้เป็นความทรงจำเพราะมีเพื่อนๆร่วมเดินทางที่น่ารักและอาจารย์เวียงที่ใจดีมาก ๆ ทำให้การเที่ยวครั้งนี้สมบูรณ์แบบ ขอบคุณค่ะ
เก็บตกภาพน่ารัก ๆ มาฝากค่ะ
(อาจารย์เวียงแข็งแรงสุด ๆ เลยค่ะ)
ตัดภาพมาที่นักศึกษา
(นั่งพักเหนื่อยเอาแรงกันก่อนเนาะ อิอิ)

ขอจบความสนุกสนานไว้เท่านี้ก่อน ครั้งหน้าเด็กเอเชียจะพาท่องเที่ยวที่ไหนฝากติดตามกันด้วยนะคะ รับรองว่าต้องว้าวอย่างแน่นอน 

Comments

Popular posts from this blog

ช้างเอราวัณ สัตว์วิเศษแห่งป่าหิมพานต์

สวัสดีค่ะ วันนี้จะพาทุกคนมารู้จักช้างเอราวัณสัตว์วิเศษแห่งป่าหิมพานต์ จะยิ่งใหญ่และอลังการขนาดไหน ตามมาดูกันค่ะ เริ่มจากที่มาของ ชื่อช้างเอราวัณ   ในภาษาสาสกฤต เรียกช้างเอราวัณว่า ไอราวาต ไอราวณ ภาษาบาลี เรียกว่า เอราวณ ส่วนในภาษาไทยเรียกว่า ไอราพต ไอราวัต ไอราวัณ และเอราวัณ ชื่อต่างๆ ทั้งหมดนี้ มีความหมายถึง น้ำ เมฆฝน รุ้ง แปลรวมว่ากลุ่มก้อนเมฆที่มีฟ้าแลบ และทำให้เกิดฝนตก โดยมีความสอดคล้องที่ว่า พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณท่องเที่ยวไปบนสวรรค์ แล้วทรงโปรยฝนให้ตกลงมายังโลก (https://www.pinterest.com/search/pins/)                 ในเรื่องรามายณะและความเชื่อของศาสนาฮินดู เชื่อกันว่าพระอินทร์มีพาหนะเป็นช้าง 3 เชือก คือเอราวัณ (พระศิวะเป็นผู้ประทานให้) ,คีรีเมขล์ไตรดายุด (พระพรหมเป็นผู้ประทานให้) , เอกทันต์ พระวิศณุเป็นผู้ประทานให้ ช้างทั้ง 3 เชือก เอราวัณเป็นช้างที่พระอินทร์โปรดปรานมากที่สุดและมีกำลังมากที่สุด เชื่อกันว่าช้างเชือกนี้เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง               ลักษณะของช้างเอราวัณ ช้างเทพเจ้าจะปรากฏในลักษณะของสัตว์วิเศษ ดังบทความในบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ของรัชการที

ป้อมซานติเอโก สถาปัตยกรรมที่งดงาม แห่งกรุงมะนิลา

สวัสดีค่ะ วันนี้จะพาทุกคนไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ ที่รับประกันความฟินและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ จะขอพาทุกคนไปที่ประเทศฟิลิปปินส์ ที่กรุงมะนิลา สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดนั่นก็คือ “ป้อมซานติเอโก” (Fort Santiago) (https://www.tlcthai.com/travel/31206/.html/manila-cathedral) ประวัติความเป็นมา  ป้อมซานติเอโกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1571 เป็นด่าแรกที่ป้องกันข้าศึก นับเป็นป้อมปราการของสเปนที่เก่าแก่ที่สุดในฟิลิปปินส์ ใช้เป็นสถานที่คุมนักโทษ และใช้ที่กักขัง โฮเซ่ ไรซาล วีรบุรุษแห่งชาติ และยังเป็นที่กักขังนักรบเสรีภาพในช่วงเวลาการทำสงครามระหว่างการยึดครองของญี่ปุ่น  เมื่อสมัยโปรตุเกสยังยึดครองมะละกา ป้อมปราการแห่งนี้ถูกใช้งานเสมือนด่านป้องกันเมืองมะละกา จากการบุกรุกของศัตรู โดยป้อมนี้จะมีกำแพงยาวล้อมรอบเนินเขาเล็ก ๆ ชื่อว่าเนินเขามะละกา ซึ่งป้องแห่งนี้ได้ทำหน้าที่เป็นอย่างดีเป็นเวลานานถึง 150 ปี จนกระทั่งฮอลันดามายกทัพมาบุกรุกและยึดครองเมืองมะละกาได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1641 หลังจากฮอลันดายึดครองมะละกาจากชาวโปรตุเกสได้สำเร็จ จึงทำการซ่อมแซมกำแพงและป้อมปราการแห่งนี้ใ

ไปประตูไซนำน้องบ่

(https://www.govivigo.com/reviews/327-เวียงจันทน์-วังเวียง-ตามฉบับคนชอบเที่ยวแบบชิลล์ๆ-4-วัน-3-คืน) สวัสดีค่า วันนี้จะพาไปเที่ยวเมืองลาวกันเด้อ ไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านเรา สถานที่ที่ไม่ควรพลาด นั้นก็คือ คือ คือ คือ ! ประตูไซ หรือ ประตูชัยนั้นเอง ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลยค่า มาเริ่ม ถามว่าประตูชัยคือที่ไหนสร้างเพื่ออะไร ตอบเลยว่า ประตูไซ ( Patuxai)  หรือ ประตูชัย เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่สำคัญของประเทศลาวสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน  เพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้ที่เสียสละชีวิตในสงคราม ก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ ความสวยงามของประตูชัย นั้นมีลักษณะสถาปัตยกรรม ที่ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นั่นเอง (http://www.amazingthaitour.com /คู่มือท่องเที่ยว/4-สถานที่ในเวียงจันทน์กับจุดท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาด/) ประตูไซตั้งอยู่บริเวณถนนล้านช้าง ตรงข้ามกับห้องว่าการรัฐบาล  (  ຫ້ອງວ່າການລັດຖະບານ  )  สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งวันและสามารถขึ้นไปยังชั้น  3  เพื่อชมวิวทิวทัศน์ของกรุงเวียงจันทน์ได้ โดยราคาค่าขึ้นชมคนละ  2,000  กีบสามารถเข้าชม