Skip to main content

สักการะพระนอนตาหวาน พระพุทธไสยาสน์ที่งดงามที่สุดในเมียนมา

    สวัสดีผู้อ่านที่น่ารักทั้งหลาย วันนี้ดิฉันจะพาทุกท่านไปเที่ยวชมวัดในประเทศเมียนมากันค่ะ อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าประเทศเมียนมาขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ยึดมั่นในเรื่องของศาสนาพุทธอย่างมาก ดังนั้นประเทศเมียนมาจึงเป็นประเทศที่มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ดิฉันจึงจะพาทุกท่านไปกราบไหว้ ขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตกันค่ะ 

พระพุทธไสยาสน์ เจาทัตยี (Chauk Htat Gyi Pagoda) 



พระพุทธไสยาสน์ เจาทัตจี เป็นพระนอนที่สวยที่สุดเและใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมามีความยาว 65 เมตรความสูง 30 เมตร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณย่างกุ้ง บนถนนชเวกองได  ความโดดเด่นของพระพุทธไสยาสน์ เจาทัตจี อยู่ที่ดวงตา เนื่องจากดวงตาของพระพุทธรูปได้ทำมาจากแก้วซึ่งมีความแวววาว มีขนตายาวงอน ตาโต คิ้วดำ ปากสีแดง เล็บสีแดง มีความสวยงามจนสะดุดตาผู้ที่มาสักการะบูชา จนเป็นที่มาของชื่อ พระนอนตาหวาน และยังมีอัญมณีหลากหลายชนิดที่ประดับบริเวณพระเศียร นอกจากนี้ยังมีพระจีวรซึ่งมีความพริ้วไหวที่เหมือนจริง ถือเป็นพุทธศิลป์ที่ชาวเมียนมาภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก และจุดเด่นที่สำคัญอีกประการคือ บริเวณฝ่าพระบาท จุดเด่นคือมีภาพวาดเป็นมิ่งมงคลสูงสุด ประกอบด้วยลายลักษณ์ธรรมจักร และในบริเวณใจกลางผ่าพระบาทและบริเวณล้อมด้วยรูปมงคล 108 ประการ

    เดิมพระพุทธรูปสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1907 แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี โครงสร้างเดิมได้รับความเสียหายและจำเป็นต้องซ่อมแซม จึงได้รับการบูรณะเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1966 โดยได้รับการบริจาคจากชาวพุทธและนักท่องเทียวต่างชาติบางส่วน และรายชื่อผู้บริจาคทุกท่านติดที่บริเวณจารึกบนคาน

    และเมื่อเดินทางไปถึงบริเวณวิหาร การเข้าไปสักการะการปฏิบัติเมื่อเข้าไปในวิหาร ต้องถอดรองเท้า ถอดถุงเท้า ถอดหมวก และถอดแว่นดำ และต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย โดยการสักการะด้วยธูปและดอกไม้ เมื่อสักการะ ขอพรเสร็จ สามารถเดินไปถึงด้านหลังของพระนอนซึ่งจะมีพระพุทธรูปองค์เล็กตั้งเรียงยาวตั้งแต่พระเศียรจนถึงปลายพระบาท ส่วนบริเวณรอบ ๆ วัดก็ยังสามารถพบกับแหล่งขายของที่ระลึกที่นักท่องเที่ยวสามารถซื้อกลับไปเป็นของฝากได้ มีสินค้ามากมาย เช่น เสื้อผ้า ภาพวาด รองเท้า ไม้แกะสลัก กระเป๋า และเครื่องประดับ รวมทั้งสินค้าพื้นเมือง สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งเลยนะคะคือพ่อค้าแม่ค้าสามารถพูดภาษาไทยได้ จึงทำให้เราซื้อได้อย่างสะดวกสบาย

    และสุดท้ายนี้การมาเที่ยวไม่เพียงแต่ว่าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นยังได้เปิดโอกาสให้ศาสนิกชนเข้าร่วมในการศึกษาพระธรรม สำหรับใครที่แวะมาสักการะ ทำบุญ  ถ่ายภาพสวย ๆ รับรองว่าท่านจะได้รับความประทับใจกลับไปแน่นอนค่ะ

 

อ้างอิง

1. LovelySmileTour. (ม.ป.ป.). ทัวร์พม่าพารีวิว พระนอนตาหวาน, สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2021. แหล่งที่มา        : https://www.lovelysmiletour.com/news-detail.php?id=131

2. Jasminta. (2019). จัดเต็ม!! ไหว้พระที่พม่า 9 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต!, สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2021. แหล่งที่มา : https://travel.mthai.com/blog/135863.html

3. RenownTravel. (ม.ป.ป.). Chauk Htat Gri Reclining Buddha, สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2021. แหล่งที่มา https://www.renown-travel.com/burma/yangon/chaukhtatgyipagoda.html

Comments

Popular posts from this blog

ช้างเอราวัณ สัตว์วิเศษแห่งป่าหิมพานต์

สวัสดีค่ะ วันนี้จะพาทุกคนมารู้จักช้างเอราวัณสัตว์วิเศษแห่งป่าหิมพานต์ จะยิ่งใหญ่และอลังการขนาดไหน ตามมาดูกันค่ะ เริ่มจากที่มาของ ชื่อช้างเอราวัณ   ในภาษาสาสกฤต เรียกช้างเอราวัณว่า ไอราวาต ไอราวณ ภาษาบาลี เรียกว่า เอราวณ ส่วนในภาษาไทยเรียกว่า ไอราพต ไอราวัต ไอราวัณ และเอราวัณ ชื่อต่างๆ ทั้งหมดนี้ มีความหมายถึง น้ำ เมฆฝน รุ้ง แปลรวมว่ากลุ่มก้อนเมฆที่มีฟ้าแลบ และทำให้เกิดฝนตก โดยมีความสอดคล้องที่ว่า พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณท่องเที่ยวไปบนสวรรค์ แล้วทรงโปรยฝนให้ตกลงมายังโลก (https://www.pinterest.com/search/pins/)                 ในเรื่องรามายณะและความเชื่อของศาสนาฮินดู เชื่อกันว่าพระอินทร์มีพาหนะเป็นช้าง 3 เชือก คือเอราวัณ (พระศิวะเป็นผู้ประทานให้) ,คีรีเมขล์ไตรดายุด (พระพรหมเป็นผู้ประทานให้) , เอกทันต์ พระวิศณุเป็นผู้ประทานให้ ช้างทั้ง 3 เชือก เอราวัณเป็นช้างที่พระอินทร์โปรดปรานมากที่สุดและมีกำลังมากที่สุด เชื่อกันว่าช้างเชือกนี้เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง               ลักษณะของช้างเอราวัณ ช้างเทพเจ้าจะปรากฏในลักษณะของสัตว์วิเศษ ดังบทความในบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ของรัชการที

ป้อมซานติเอโก สถาปัตยกรรมที่งดงาม แห่งกรุงมะนิลา

สวัสดีค่ะ วันนี้จะพาทุกคนไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ ที่รับประกันความฟินและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ จะขอพาทุกคนไปที่ประเทศฟิลิปปินส์ ที่กรุงมะนิลา สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดนั่นก็คือ “ป้อมซานติเอโก” (Fort Santiago) (https://www.tlcthai.com/travel/31206/.html/manila-cathedral) ประวัติความเป็นมา  ป้อมซานติเอโกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1571 เป็นด่าแรกที่ป้องกันข้าศึก นับเป็นป้อมปราการของสเปนที่เก่าแก่ที่สุดในฟิลิปปินส์ ใช้เป็นสถานที่คุมนักโทษ และใช้ที่กักขัง โฮเซ่ ไรซาล วีรบุรุษแห่งชาติ และยังเป็นที่กักขังนักรบเสรีภาพในช่วงเวลาการทำสงครามระหว่างการยึดครองของญี่ปุ่น  เมื่อสมัยโปรตุเกสยังยึดครองมะละกา ป้อมปราการแห่งนี้ถูกใช้งานเสมือนด่านป้องกันเมืองมะละกา จากการบุกรุกของศัตรู โดยป้อมนี้จะมีกำแพงยาวล้อมรอบเนินเขาเล็ก ๆ ชื่อว่าเนินเขามะละกา ซึ่งป้องแห่งนี้ได้ทำหน้าที่เป็นอย่างดีเป็นเวลานานถึง 150 ปี จนกระทั่งฮอลันดามายกทัพมาบุกรุกและยึดครองเมืองมะละกาได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1641 หลังจากฮอลันดายึดครองมะละกาจากชาวโปรตุเกสได้สำเร็จ จึงทำการซ่อมแซมกำแพงและป้อมปราการแห่งนี้ใ

ไปประตูไซนำน้องบ่

(https://www.govivigo.com/reviews/327-เวียงจันทน์-วังเวียง-ตามฉบับคนชอบเที่ยวแบบชิลล์ๆ-4-วัน-3-คืน) สวัสดีค่า วันนี้จะพาไปเที่ยวเมืองลาวกันเด้อ ไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านเรา สถานที่ที่ไม่ควรพลาด นั้นก็คือ คือ คือ คือ ! ประตูไซ หรือ ประตูชัยนั้นเอง ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลยค่า มาเริ่ม ถามว่าประตูชัยคือที่ไหนสร้างเพื่ออะไร ตอบเลยว่า ประตูไซ ( Patuxai)  หรือ ประตูชัย เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่สำคัญของประเทศลาวสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน  เพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้ที่เสียสละชีวิตในสงคราม ก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ ความสวยงามของประตูชัย นั้นมีลักษณะสถาปัตยกรรม ที่ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นั่นเอง (http://www.amazingthaitour.com /คู่มือท่องเที่ยว/4-สถานที่ในเวียงจันทน์กับจุดท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาด/) ประตูไซตั้งอยู่บริเวณถนนล้านช้าง ตรงข้ามกับห้องว่าการรัฐบาล  (  ຫ້ອງວ່າການລັດຖະບານ  )  สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งวันและสามารถขึ้นไปยังชั้น  3  เพื่อชมวิวทิวทัศน์ของกรุงเวียงจันทน์ได้ โดยราคาค่าขึ้นชมคนละ  2,000  กีบสามารถเข้าชม